"ข้อดีของโซเชียลฯ คือความเร็ว ซึ่งสิ่งนี้เองก็ทำให้ความต้องการของผู้บริโภคแปรผันตามความเร็วของหน้าฟีด คณะบริหารธุรกิจ สาขา ธุรกิจดิจิทัล จึงจะมาแนะนำเครื่องมืออย่าง Google Trends ที่จะสามารถใช้เป็นประโยชน์ในมุมของ SEO และธุรกิจโดยภาพรวมได้ไม่น้อยทีเดียว"
ในปัจจุบันบทบาทของเทคโนโลยีในชีวิตของเรานั้นทำให้ ข้อมูลต่าง ๆ บนหน้า Timeline ไหลอย่างรวดเร็ว สิ่งที่เคยเป็นกระแสเมื่อหลายวันก่อน วันนี้อาจจะไม่ได้ปรากฏให้เห็นอีกแล้ว หรือบางประเด็นอาจจะสามารถอยู่บนหน้าฟีดได้ยาวหน่อย เพราะข้อดีของโซเชียลฯ คือความเร็ว ซึ่งสิ่งนี้เองก็ทำให้ความต้องการของผู้บริโภคแปรผันตามความเร็วของหน้าฟีด คณะบริหารธุรกิจ สาขา ธุรกิจดิจิทัล จึงจะมาแนะนำเครื่องมืออย่าง Google Trends ที่จะสามารถใช้เป็นประโยชน์ในมุมของ SEO และธุรกิจโดยภาพรวมได้ไม่น้อยทีเดียว
Google Trends เป็นหนึ่งในเครื่องมือจาก Google ที่มีไว้เพื่อใช้ดูแนวโน้ม ติดตามเทรนด์ฮิตติดกระแส หรือประเด็นที่คนบนโลกออนไลน์สนใจในช่วงเวลานั้น ๆ รวมไปถึงสามารถใช้ในการสำรวจพฤติกรรมการค้นหาข้อมูลบน Google ได้ด้วย ซึ่งการเริ่มต้นใช้งานก็ไม่ได้ยุ่งยากหรือซับซ้อนอะไร
1.เข้าเว็บไซต์ https://trends.google.com/trends/
2.เข้าไปตั้งค่าเพื่อเลือกประเทศที่ต้องการ
เพียงเท่านี้คุณจะสามารถดูแนวโน้มเทรนด์ของประเทศนั้นได้แล้ว โดยการดูเทรนด์ต่าง ๆ นี้ เราสามารถเลือกช่วงเวลาที่ต้องการได้ เช่น เทรนด์ประจำวัน ไปจนถึงเทรนด์ประจำปี เป็นต้น
1.ใช้สำหรับทำคอนเทนต์ตามกระแส
สามารถใช้ฟีเจอร์ Trending Searches มาช่วยเพื่อค่นหา Keyword หรือคำค้นหาที่กำลังฮิตติดเทรนด์ของบ้านเราในตอนนี้ อาจจะเป็นคำค้นหาจากข่าวดังๆ หรือเรื่องราวที่กำลังเป็นกระแสอยู่ สำหรับใครที่อยากจะรู้ข้อมูลเพิ่มเติม ก็สามารถคลิกเข้าไปอ่านจากแหล่งที่มาที่ไปได้ โดยฟีเจอร์ในส่วนนี้ทำให้เราเห็นภาพรวมว่าคนกำลังสนใจอะไร จึงสามารถนำมาใช้ในการช่วยในการทำคอนเทนต์แบบเกาะกระแสได้
2.ใช้ทำคอนเทนต์ตามเทศกาล
อาจจะทำคอนเทนต์ในคีย์เวิร์ดนี้ก่อนที่จะถึงเทศกาลการค้นหาก่อนสัก 1-2 เดือนล่วงหน้า เพื่อให้มีเวลาในการทำอันดับล่วงหน้า โดยเราสามารถใส่ Keyword ลงในช่องค้นหา จากนั้นก็เลือกช่วงเวลาที่เราต้องการดูข้อมูลได้เลย ซึ่ง Google Trends นั้นสามารถดูข้อมูลย้อนหลังได้ตั้งแต่ 1 ชั่วโมงที่ผ่านมา ย้อนยาวไปจนถึงปี 2004 เลยทีเดียว
3.ช่วยเลือก Keyword ในการทำคอนเทนต์
ถ้ามีคีย์เวิร์ดอยู่ในใจแต่ไม่รู้ว่าคำไหนคนนิยมค้นหามากกว่ากัน เราก็สามารถใช้ฟีเจอร์ Compare มาใช้เปรียบเทียบกันได้ หรือในกรณีที่เรากำลังหา Topic ในการเขียน แต่ไม่รู้จะเลือกเรื่องไหนดี ก็สามารถนำมาเปรียบเทียบเพื่อหาผลลัพธ์ได้เช่นกัน
4.ช่วยหาไอเดียใหม่ ๆ ในการทำคอนเทนต์
เมื่อไหร่ที่ไอเดียเริ่มตัน ไม่รู้จะเขียนอะไร หรือวางแผนการทำเนื้อหาไปในทิศทางไหน แนะนำว่าฟีเจอร์ Related Topics และ Related Queries จาก Google Trends ช่วยได้ ฟีเจอร์นี้เป็นฟีเจอร์ที่ทำให้เราสามารถวิเคราะห์คีย์เวิร์ดได้แบบลงลึกมากยิ่งขึ้น ซึ่งเราสามารถนำคำที่ค้นหาเหล่านี้มาแตกย่อยออกเป็นหัวข้อคอนเทนต์ใหม่ ๆ ได้
5.ช่วยในการทำ Local SEO
ถ้าเราอยากรู้ว่าคีย์เวิร์ดหรือหัวข้อที่เราต้องการเขียนถึงนั้นกำลังได้รับความสนใจในพื้นที่ไหนบ้าง เราสามารถใช้ฟีเจอร์ Subregion เพื่อดูความสนใจเหล่านั้นได้ หลังจากนั้นจึงค่อยวางแผนการการสร้างเนื้อหาเว็บไซต์ที่เชื่อมโยงกับพื้นที่นั้น ๆ เพื่อสนับสนุนการทำ Local SEO และเพิ่ม Traffic รวมถึงโอกาสในการขายสินค้าไปยังพื้นที่ที่เราต้องการ
6.คืนชีพให้ Content เดิมที่เคยเขียน
เราควรหมั่นตรวจสอบคีย์เวิร์ดใช้อย่างสม่ำเสมอง่าย ๆ ด้วยการใช้ Google Trends ในการเปรียบเทียบว่าคีย์เวิร์ดที่เราใช้อยู่นั้นมีคำไหนที่ใกล้เคียงและมีโอกาสเติบโตได้ในอนาคต แล้วจึงค่อยทำคีย์เวิร์ดนั้นมาปรับเนื้อหาด้านในบทความเราอีกที
Website Builder Software